ชื่อเล่น : คิม
ชื่อจริง : คิมเบอร์ลี่ แอน โวลเทมัส เทียมศิริ
อายุ : 22 ปี
ส่วนสูง : 170 เซนติเมตร
น้ำหนัก : 50 กิโลกรัม
เกิด : 22 มกราคม พ.ศ. 2535
อาชีพ : นักแสดง
สังกัด : สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3
การศึกษา : Private Education
ความสามารถพิเศษ : เต้น, ร้องเพลง, เล่นกีตาร์, บาสเกตบอล, ภาษาอังกฤษ
ครอบครัวเยอรมัน วุ่นวายแต่อบอุ่น
คิมเบอร์ลี่ แอน โวล เทมัส เทียมศิริ หรือ คิมเบอร์ลี่ เด็กสาวลูกครึ่งไทย-เยอรมัน วัย 18 ปี ในช่วงวัยเด็กเธอเติบโตอยู่ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของผู้เป็นพ่อ เมื่อพออายุ 7-8 ปี จึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองไทย พร้อมกับคุณพ่อ คุณแม่และพี่ๆ น้องๆ อีก 6 คน
คิมเป็นลูกสาวคนที่สี่ของครอบครัว โดยมีพี่ชายสองคน พี่สาวหนึ่งคน และยังมีน้องชายต่างแม่อีกสองคน รวมคิมด้วยทั้งหมด 6 คน บรรยากาศภายในบ้านจึงไม่ค่อยเงียบเหงา ติดจะวุ่นวายไปเสียด้วยซ้ำ
พอทุกคนมาอยู่รวมตัวอยู่พร้อมหน้าหมดทุกคนจะวุ่นวายมาก เขาจะพูดภาษาเยอรมันกัน หนูก็พอฟังเข้าใจนะค่ะ แต่ว่าไม่ค่อยพูด พี่ชายจะพูดได้ เราคุยกันก็คุยกันมั่วๆ สามภาษา เยอรมัน อังกฤษ และไทย คุยกันบางทีก็ไม่รู้เรื่องอะไรแต่ก็พอเข้าใจบ้าง ยิ่งคนอื่นมาได้ยินเราคุยกันก็ยิ่งงง ว่าคุยอะไรกันอยู่ แต่เราพี่น้องจะเข้าใจกันเอง พี่ชายจะชอบแกล้ง แหย่ เล่นกับหนูเหมือนผู้ชายเลย
——-
เด็กหัวดื้อ ชอบเข้าวัด
จากเด็กเมืองเบียร์ย้ายมาอยู่เมืองไทย ซึ่งเป็นบ้านเกิดของคุณแม่ การปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ก็แตกต่างกันไป แต่สำหรับเธอแล้วกลายเป็นเรื่องที่ไม่ได้ยากนัก คิมให้เหตุผลว่า เนื่องจากตอนนั้นยังเด็กการปรับตัวของเด็กเป็นเรื่องง่ายมากกว่าผู้ใหญ่
เมื่อสาวลูกครึ่งมาอยู่เมืองไทย การดูแลและปลูกฝังยังคงถูกเลี้ยงดูแบบเด็กฝรั่งแต่ก็มีคุณพ่อและพี่ชายคอยเป็นหวงและดูแลเคียงข้างเสมอ
เขาจะคอยเตือนตอนเราเข้าวงการมากกว่าว่าต้องดูแลตัวเอง อย่าไปไว้ใจใครมากไป เพราะเราก็ยังไม่รู้จักใครมากเท่าไหร่เลย แล้วเขาก็ไม่ใช่ครอบครัวเรา สอนให้เรารู้จักวางตัวยังไงในสังคม
คิมบอกว่า แม้ว่าจะดูแลแบบปล่อยๆและคอยเตือนอยู่ห่างๆ แต่ตอนเด็กๆ คุณพ่อจะดุมาก ถ้าเธอดื้อเมื่อไหร่ จะเป่าปากเป็นสัญญาณคอยเตือน เธอทำท่าทางเลียนแบบวิธีเป่าปากของคุณพ่อ ถ้าเป่าครบสามครั้งเมื่อไหร่ จะต้องถูกทำโทษแน่ๆ แต่อย่างไรก็ยังคงยืนยันว่าตนเองไม่ใช่เด็กซน แต่ก็เล่นไปตามประสาเด็กที่อยากไปเล่นไปไหนกับเพื่อนๆ
จริงๆ แล้วคิมก็ไม่ค่อยเป็นฝรั่งเลยทีเดียวนะค่ะ ไม่เชิงไทยจ๋า แต่ก็ได้นิสัยคนไทยมาเยอะเหมือนกัน เพราะว่าพี่ๆ รอบข้างเราเป็นคนไทยหมดเลย เค้าจะเป็นคนที่คอยสอนเรื่องกิริยามารยาท ชอบคอยสอนอะไรตามที่เป็นมารยาทของคนไทย
เธอยกตัวอย่างมารยาทของคนไทยแบบโบราณที่ถูกสอนมาว่า เวลายกหม้อข้าว เปิดฝาหม้อห้ามวางคว่ำ ให้วางหงาย จะคอยทำเป็นนิสัย หรืออย่างห้ามร้องเพลงตอนกินข้าว เพราะอาจจะได้แฟนมีอายุ พี่ๆ คอยบอกถึงเหตุผลทั้งหมดที่สอนเรื่องต่างๆว่า ผู้ใหญ่เขาถือกัน บางเรื่องก็ทำให้เธอกลับเอามาคิดตลอดว่าทำเพื่ออะไร และทำทำไม ตามประสาเด็กฝรั่งหัวดื้อ
คิมยังบอกอีกว่านอกจากเรื่องของวัฒนธรรมที่ซึมซับมาจากพี่ๆ แล้ว ยังมีเรื่องการนับถือศาสนาที่ทำให้รู้สึกว่าการนับถือศาสนาพุทธทำให้คิมรู้สึกจิตใจสงบและชอบการทำบุญมาก
เพราะรู้สึกว่าเวลาเข้าโบสถ์กับเข้าวัดคิมรู้สึกแตกต่างกัน ทั้งสองศาสนาสอนให้คนทำดีทั้งคู่ แต่คิมรู้สึกว่าเวลาเข้าวัดไม่ต้องมีอะไรมากมาย แล้วก็รู้สึกอบอุ่น มีเวลาก็จะชอบไปทำบุญ ไม่รู้ว่าอะไรทำให้หนูเปลี่ยนศาสนา แต่หนู ชอบการไหว้พระมากกว่า
ในครอบครัวของเธอ พี่ชายทั้งสองไม่นับถืออะไร จะไปโบสถ์ก็ได้ ไปวัดก็ไปไหว้พระได้ เพราะพี่ทั้งสองคิดว่าอะไรที่เป็นสิ่งที่ดีเขาก็ทำ ปกติบถือศาสนาพุทธ แม้ว่าตนเองจะไม่ค่อยได้ศึกษาอะไรมาก ท่องได้เพียงแค่ นะโมตัสสะ พอรู้บ้างว่าไหว้พระอย่างไร ตักบาตรต้องถวายอะไร
พี่สาวจะคอยสอนเวลาไปทำบุญค่ะ หนูก็จะคอยถามว่า เวลาทำบุญต้องพูดอะไรในใจหรือเปล่าว ต้องพูดนะโมตัสสะ หรือเปล่า เวลาเข้าซีนทุกครั้งก็ต้องมีการไหว้ครู หนูเองก็ยังทำไม่ได้ ก็ต้องมีพี่พี่คอยสอนต้องคอยเรียนรู้กันไป
จำไม่ได้แล้วว่าเข้าวัดครั้งแรกตอนไหน แต่ตอนนั้นเหมือนเราเข้าไปแล้วก็เหมือนคุณพ่ออยากจะไปวัด เราก็ไปกัน แต่ตอนนั้นก็ไหว้ๆ หนูพยายามที่จะนั่งสมาธินะค่ะ พยายามมากแล้วแต่ยังทำไม่ได้สักที เพราะหนูเป็นคนรนๆ เป็นคนที่ไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ พอหลับตา ได้ยินเสียงก็จะตื่นเลย รู้สึกจิตใจสงบขึ้น ก็พยายามหาเวลาไปทำบุญเหมือนกัน ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาไปเท่าไหร่ค่ะ
———
ภาษาไทยไม่ง่าย อย่างที่คิด
นอกจากเรื่องของวัฒนธรรมที่คิมต้องคอยปรับตัวให้ได้เรียนรู้ถึงมารยาทในการเข้ากับสังคมไทยแล้ว การที่คนรอบข้างล้วนแต่ใช้ภาษาไทยกัน ยังคงเป็นเรื่องยากที่จะต้องคอยปรับกันมาตั้งแต่เด็ก
เรื่องกิริยามารยาทที่มีเยอะมากแล้ว ภาษาไทย โอ้ย ยากมาก อ่านตัวอะไรเนี่ย เยอะแยะไปหมด ตอนนั้นเธอบ่นออกมาแบบคนที่เพิ่งเริ่มต้นนับหนึ่งกับสิ่งที่ต้องเรียนรู้ใหม่
เด็กสาวลูกครึ่งคนหนึ่งเริ่มหัดเรียนรู้ภาษาไทยจากการฝึกพูดในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นการฝึกที่ง่ายและได้ตามอัตโนมัติ แม้ว่าจะยังไม่ค่อยรู้ความหมายเท่าไหร่ ก็จะมีแม่เป็นผู้คอยบอกอยู่เสมอ
ตอนนั้นที่มาจากเยอรมนีไม่มีเพื่อน ก็วิ่งไปถามแม่ว่า ถ้าจะชวนเพื่อนไปเล่นจะพูดยังไง แม่ก็จะบอกทีละคำ เราก็จำๆๆ แล้วก็วิ่งไปชวนเพื่อนว่า ไปเล่นกันไหม แล้วพื่อนก็สอนมาบ้าง ก็พอจำได้ แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
หลังจากฝึกพูดได้บ้างเหมือนเด็ล้มลุกคลุกคลาน คำว่า ยา เป็นคำแรกที่คิมพออ่านได้ ซึ่งเป็นช่วงที่ทำให้เธอรู้สึกว่าต้องหัดอ่านเสียบ้าง และรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งเวลาออกไปข้างนอก จะไปซื้อหนังสือก็เป็นภาษาไทยทั้งนั้น คนอื่นก็พูดภาษาไทย ทำให้ต้องตัดสินใจฝึกอ่าน
เวลาออกไปไหนมาไหน หนูก็ฟังไม่รู้เรื่อง หนูก็คิดว่าไม่ได้แล้วต้องพูดให้ได้ มันรู้สึกหงุดหงิด รู้สึกอึดอัด เลยเริ่มหัด ก.ไก่ จำเอา แต่ก็ท่องไม่ได้ อ่านได้ พูดได้ แต่ก็เขียนไม่ได้ค่ะ แต่ก็บวกคำเอาเองบ้าง
ในโรงเรียนตอนประถมเรียนโรงเรียนนานาชาติ ทั้งที่กรุงเทพฯและเชียงใหม่ ทำให้ต้องเดินทางไปมาตลอด จนกระทั่งคุณพ่อตัดสินใจให้คิมได้เรียนแบบ โฮมสคูล อาจจะมีสอนภาษาไทยบ้าง แต่ก็ไม่ได้เยอะมากเท่าที่ควร เธอบอกว่าแทบจะไม่ได้อะไรด้วยซ้ำ หากเทียบกับการเรียนตามมาตรฐานไทย ตอนนี้ เธอก็กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แต่ในช่วงที่ทำงานจึงทำให้หยุดเรียนไปก่อน
———
ความภูมิใจจากเงินก้อนแรก
เมื่อเด็กสาวลูกครึ่ง ได้เดินเข้ามาในวงการบันเทิง จนใครๆ ต่างก็หลงรัก ตั้งแต่อายุ 8 ปี คิมเบอร์ลี่ได้ผ่านการเดินแบบ ถ่ายแฟชั่นให้กับเสื้อผ้าเด็กบ้าง เพราะมีพี่ชายที่เป็นนายแบบคอยดูแลและผลักดันให้เข้ามาสู่เวทีแฟชั่นตั้งแต่เด็ก ตามความเจิดจรัสของรัศมีที่กำลังเปล่งประกายออกมาจากตัวเธอ เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นมีงานมิวสิกวิดีโอบ้าง และผลงานที่ได้รับการพูดถึงคืองานโฆษณา เครื่องดื่มบำรุงกำลัง วีต้า งานโฆษณาชิ้นนี้ เธอมาในลุคสาวผมสั้น แต่งตัวเปรี้ยว ที่เดินเริงร่าอยู่บนท้องถนน หลังจากนั้นอาจจะมีงานโฆษณาอีกบ้างแต่ก็เป็นงานต่างประเทศซึ่งคนไทยอาจจะไม่ได้ชม เรียกว่างานชุกตั้งแต่เด็ก
โฆษณาชิ้นแรกก็เป็นซัมซุงที่ถ่ายกับลิงค่ะ คนอาจจะจำไม่ค่อยได้แล้ว ต่อจากนั้นก็มีงานที่ต่างประเทศ แต่ที่เด่นที่สุดน่าจะเป็นวีต้า พรุน ในช่วงนั้นงานเดินแบบ คิมมีเพื่อนของพี่ชายที่คอยดูคิวให้ว่าต้องไปเดินแบบที่ไหนบ้าง มีงานอะไรบ้าง ก็จะมีพี่คอยดูให้ค่ะ
จำได้เลยว่าเงินก้อนแรกที่ได้จากการเดินแบบ ก็ให้คุณพ่อเก็บไว้เลยค่ะ จำได้ว่า 4,000 บาท ก็ให้คุณพ่อหมดเลย คุณพ่อก็พาไปซื้อเสื้อผ้า ชอปปิ้ง รู้สึกดีใจมากค่ะ ที่ได้เงินก้อนแรกมาคืนคุณพ่อ ตอนนั้นยังเด็กมากก็ไม่รู้ว่าได้มาได้ยังไง
——
งานหินรับบทคู่ อั้ม อธิชาติ
จากงานนางแบบที่ได้ทำตั้งแต่เด็ก และมีผลงานโฆษณาเข้ามาให้ได้ชมกัน จนกระทั่งได้เป็นนางเอกละครในเรื่องแรก ถือเป็นขั้นที่ก้าวกระโดดของเด็กสาวที่ได้รับบทนางเอกตั้งแต่เรื่องแรก และได้เล่นคู่กับพระเอกสุดฮอตของช่อง 3 กับละคร ธาราหิมาลัย ยิ่งทำทางการบันเทิงเปิดทางส่องสว่างให้แก่เธอมากขึ้น
คิมได้มีโอกาสเข้ามาแคสติ้งกับทางช่อง 3 คล้ายกับนักแสดงปกติทั่วไป แต่ตอนนั้นชื่อของคิมถูกเรียกให้มาแคสอยู่ประมาณ 2 ครั้ง เป็นช่วงเวลาที่เธอบอกว่านานพอสมควรกว่าที่ทางผู้ใหญ่จะตัดสินใจให้เซ็นสัญญากับทางช่อง
ตอนนั้นมีพี่ให้เข้ามาแคส โทร.มาบอกว่ามีโปรเจกต์ใหญ่ ฉลอง 40 ปี ช่อง 3 ให้ลองเข้ามาแคสดู บรรยากาศการแคสตอนนั้นนักแสดงเยอะมาก คิดเอาไว้ในใจว่าตายล่ะ เราถอยดีกว่ามั้ย เราเป็นใครก็ไม่รู้แล้วก็เพิ่งเข้ามาด้วยซ้ำ แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะได้ พอแคสเสร็จก็คิดว่าไม่ได้แล้วล่ะ อยู่ๆ พี่เขาก็โทร.มาบอกให้ไปลองชุดบ้าง ให้ไปคู่กับพี่อั้มบ้าง แต่ก็ยังไม่บอกสักทีว่าเราได้หรือเปล่า จนกระทั่งเรียกให้ไปรับบท
ในวันที่เข้าไปรับบท ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้ว่าตนเองจะได้เป็นนางเอก จริงๆ แล้วคิดเอาไว้ว่าถูกวางตัวให้เป็นน้องนางเอกหรือเปล่า ไม่ได้คิดว่าตนจะได้รับบทนางเอกเร็วขนาดนี้
———-
ความรักคือสิ่งที่ต้องมี
ทิ้งท้ายถามถึงเรื่องของหัวใจกับสาวคนนี้ เรื่องแบบนี้พี่ชายตัวจริงก็เหมือนกับฝาแฝดในละครที่คอยหวงและเป็นห่วงน้องสาวเอามาก
มีพี่ชายในเรื่องกับนอกจอ ความรู้สึกก็ต่างกันที่ พี่ชายในละครก็ทำให้เห็นภาพมากขึ้น หวงก็จะหวงมาก ตามไปทุกที่เลยค่ะ แต่พี่ชายจริงๆ ก็จะไม่ค่อยตาม แต่ก็จะโทรมามากกว่า ทำอะไรอยู่ อยู่กับใคร กลับบ้านกี่โมง พี่ชายก็หวง ใครทำอะไรน้องสาวก็ไม่นิ่งเหมือนกัน ก็จะติ๊งต๊องก็ไม่ถึงกับหวงขนาดนั้น
ความรักของคิมตอนนี้ยังไม่มีค่ะ แต่คิดว่าความรักเป็นสิ่งที่ต้องมี ยังไม่รู้ว่าความรักคืออะไร เพราะเรามุ่งไปที่ทำงานอย่างเดียวมากกว่า ที่ผ่านๆมา หนุ่มๆ ไม่ค่อยกล้าเข้ามาหาคิมนะ เพราะเห็นหน้าเราไม่มองใคร เป็นคนหน้าดุด้วย มีเพื่อนพี่เคยฝากพี่สาวมาบอกว่าชอบเรานะอะไรแบบนี้ แต่เขาไม่กล้าจีบเพราะว่าเราไม่เคยมองหน้าเขาเลย ขนาดทางเดินหนูยังไม่มองเลย
… จุดนี้อาจจะเป็นก้าวแรกที่ทำให้ คิมเบอร์ลี่ กำลังก้าวเดินอยู่ในวงการด้วยฝีมือทางด้านการแสดงที่เรียกว่าไปได้อย่างสวยงาม ทุกอย่างที่เธอกำลังทำ เธอไม่เคยคิดว่าตนเองจะต้องพยายามเพื่อจะเป็นให้ได้ หรือดิ้นรนมากมาย แต่ทุกอย่างอยู่ที่โอกาสที่เข้ามามากกว่า ซึ่งเธอบอกว่าเพียงแค่การได้มาอยู่ในจอทีวีก็ทำให้เธอดีใจมากเพียงพอแล้ว
ติดตาม facebook ได้ที่
https://www.facebook.com/TheKimmyClub
ติดตาม twitter ได้ที่
https://twitter.com/kimmy_bot